ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) :}


ดาวพฤหัสบดีสัญลักษณ์ 

ไฟล์:Jupiter-14-03-2004.jpeg
ไฟล์:Jupiter.jpg
ไฟล์:Jupiter gany.jpg
ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 และเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ นอกจากดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์แก๊สดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะได้แก่ ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ชื่อละตินของดาวพฤหัสบดี (Jupiter) มาจากเทพเจ้าโรมันสัญลักษณ์แทนดาวพฤหัสบดี คือ  เป็นสายฟ้าของเทพเจ้าซุส
ดาวพฤหัสบดีมีมวลสูงกว่ามวลของดาวเคราะห์อื่นรวมกันราว 2.5 เท่า ทำให้ศูนย์ระบบมวลระหว่างดาวพฤหัสบดีกับดวงอาทิตย์ อยู่เหนือผิวดวงอาทิตย์ (1.068 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ เมื่อวัดจากศูนย์กลางดวงอาทิตย์) ดาวพฤหัสบดีหนักว่าโลก 318 เท่า เส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลก 11 เท่า และมีปริมาตรคิดเป็น 1,300 เท่าของโลก เชื่อกันว่าหากดาวพฤหัสบดีมีมวลมากกว่านี้สัก 60-70 เท่า อาจเพียงพอที่จะให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์จนกลายเป็นดาวฤกษ์ได้
ดาวพฤหัสบดีหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็วสูงที่สุด เมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ ทำให้มีรูปร่างแป้นเมื่อดูผ่านกล้องโทรทรรศน์ นอกจากชั้นเมฆที่ห่อหุ้มดาวพฤหัสบดี ร่องรอยที่เด่นชัดที่สุดบนดาวพฤหัสบดี คือ จุดแดงใหญ่ ซึ่งเป็นพายุหมุนที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก
โดยทั่วไป ดาวพฤหัสบดีเป็นวัตถุที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในท้องฟ้า (รองจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวศุกร์ อย่างไรก็ตาม บางครั้งดาวอังคารก็ปรากฏสว่างกว่าดาวพฤหัสบดี) จึงเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การค้นพบดาวบริวารขนาดใหญ่ 4 ดวง ได้แก่ ไอโอยูโรปาแกนีมีด และคัลลิสโต โดยกาลิเลโอ กาลิเลอี เมื่อ ค.ศ. 1610 เป็นการค้นพบวัตถุที่ไม่ได้โคจรรอบโลกเป็นครั้งแรก นับเป็นจุดที่สนับสนุนทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางที่เสนอโดยโคเปอร์นิคัส การออกมาสนับสนุนทฤษฎีนี้ทำให้กาลิเลโอต้องเผชิญกับการไต่สวน
ไฟล์:Jupiter and Io.jpg
ไฟล์:Jupiter from Voyager 1.jpg
ไฟล์:Redspot false.jpg
ไฟล์:790106-0203 Voyager 58M to 31M reduced.gif
 ลักษณะเฉพาะของวงโคจร
ระยะจุด
ไกลดวงอาทิตย์ที่สุด
:
816,081,455 กม.
(5.45516759 หน่วยดาราศาสตร์)
ระยะจุด
ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
:
740,742,598 กม.
(4.95155843 หน่วยดาราศาสตร์)
กึ่งแกนเอก:778,412,027 กม.
(5.20336301 หน่วยดาราศาสตร์)
เส้นรอบวง
ของวงโคจร:
4.888 เทระเมตร
32.675 หน่วยดาราศาสตร์
ความเยื้องศูนย์กลาง:0.04839266
คาบดาราคติ:4,335.3545 วัน
(11.87 ปีจูเลียน)
คาบซินอดิก:398.86 วัน
อัตราเร็วเฉลี่ย
ในวงโคจร
:
13.050 กม./วินาที
อัตราเร็วสูงสุด
ในวงโคจร:
13.705 กม./วินาที
อัตราเร็วต่ำสุด
ในวงโคจร:
12.440 กม./วินาที
ความเอียง:1.30530°
(6.09° กับศูนย์สูตรดวงอาทิตย์)
ลองจิจูด
ของจุดโหนดขึ้น
:
100.55615°
ระยะมุมจุด
ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
:
274.19770°
จำนวนดาวบริวาร:63
          ลักษณะเฉพาะทางกายภาพ
เส้นผ่านศูนย์กลาง
ตามแนวศูนย์สูตร:
142,984 กม.
(11.209×โลก)
เส้นผ่านศูนย์กลาง
ตามแนวขั้ว:
133,709 กม.
(10.517×โลก)
ความแป้น:0.06487
พื้นที่ผิว:6.14×1010 กม.²
(120.5×โลก)
ปริมาตร:1.338×1015 กม.³
(1235.6×โลก)
มวล:1.899×1027กก.
(317.8×โลก)
ความหนาแน่นเฉลี่ย:1.326 กรัม/ซม.³
ความโน้มถ่วง
ที่ศูนย์สูตร:
23.12 เมตร/วินาที²
(2.358 จี)
ความเร็วหลุดพ้น:59.54 กม./วินาที
คาบการหมุน
รอบตัวเอง
:
0.413538021 วัน
(9 ชม. 55 นาที 29.685 วินาที)
ความเร็วการหมุน
รอบตัวเอง:
12.6 กม./วินาที
(45,300 กม./ชม.)
ความเอียงของแกน:3.13°
ไรต์แอสเซนชัน
ของขั้วเหนือ:
268.05°
(17 ชม. 52 นาที 12 วินาที)
เดคลิเนชัน
ของขั้วเหนือ:
64.49°
อัตราส่วนสะท้อน:0.52
อุณหภูมิพื้นผิว:
   เคลวิน
ต่ำสุดเฉลี่ยสูงสุด
110 K152 K
         ลักษณะเฉพาะของบรรยากาศ
ความดันบรรยากาศ
ที่พื้นผิว:
70 กิโลปาสกาล
องค์ประกอบ:~86% ไฮโดรเจน
~14% ฮีเลียม
0.1% มีเทน
0.1% ไอน้ำ
0.02% แอมโมเนีย
0.0002% อีเทน
0.0001% ไฮโดรเจนฟอสไฟด์
<0.0001% ไฮโดรเจนซัลไฟด์

วงแหวน

ดาวพฤหัสบดีมีวงแหวนเช่นเดียวกับดาวเสาร์ แต่มีความเลือนลางและขนาดเล็กกว่า สามารถเห็นได้ในรังสีใต้แดงทั้งจากกล้องโทรทรรศน์ที่พื้นโลกและจากยานกาลิเลโอ
วงแหวนของดาวพฤหัสค่อนข้างมืด เป็นวงแหวนชั้นบางๆ ไม่สามารถมองเห็นจากโลกซึ่งอาจประกอบด้วยเศษหินขนาดเล็ก และไม่พบน้ำแข็ง เหมือนที่พบในวงแหวนของดาวเสาร์ วัตถุที่อยู่ในวงแหวนของดาวพฤหัสอาจไม่อยู่ในวงแหวนนาน เนื่องจากแรงเหวี่ยงที่เกิดจากบรรยากาศและสนามแม่เหล็ก มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าวงแหวนได้วัตถุเพิ่มเติมจากฝุ่นที่เกิดจากอุกาบาตตกชนดาวบริวารวงใน ซึ่งเนื่องจากพลังงานมหาศาลจากแรงดึงดูดขนาดใหญ่ของดาวพฤหัส
โครงสร้างของดาวพฤหัส
          ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ก๊าซขนาดยักษ์ที่ไม่มีพื้นผิวให้เหยียบ แกนกลางเป็นชั้นแข็งของไฮโดรเจน และฮีเลียมที่แข็งเหมือนโลหะเนื่องจากอยู่ภายใต้ความกดดันที่สูงมาก ขนาดราวสองเท่าของโลก ถัดขึ้นมา ชั้นกลางเป็นชั้นของของไฮโดรเจนเหลว หนาราว 45,000 กิโลเมตร ภายใต้ความกดดันสูงราว 3 ล้านเท่า ของ ความกดอากาศบนโลก ถัดขึ้นมาอีกเป็นชั้นของโมเลกุลของไฮโดรเจนที่แตกตัวเป็นประจุไฟฟ้า ทำให้เกิดสนาม แม่เหล็กความเข้มสูงรอบดาวพฤหัสรูปคล้ายโดนัท ซึ่งตรวจวัดได้จากยานวอยเอเจอร์ ชั้นบนสุดเป็นชั้นของ บรรยากาศที่หนาแน่น
      บรรยากาศของดาวพฤหัส ประกอบด้วย ไฮโดรเจน 81% ฮีเลียม 18% ที่เหลือเป็น มีเธน แอมโมเนีย ฟอสฟอรัส และ ไอน้ำ เนื่องจากดาวพฤหัสมีการหมุนรอบตัวเองที่เร็วมากคือประมาณ 10 ชั่วโมงทั้งที่มีขนาดใหญ่ จึงทำให้ ลักษณะของดาวพฤหัสป่องบริเวณเส้นศูนย์สูตร และมีความแปรปรวนของชั้นบรรยากาศสูงมาก ทำให้ชั้นบรรยากาศ แบ่งออกเป็นแถบๆตามแนวขวางคล้ายเข็มขัด

จุดแดงยักษ์
ไฟล์:Júpiter com Mancha.jpg


คนโบราณสามารถสังเกตเห็นจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสมาเป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว ปัจจุบันเราว่าทราบนั่นคือ พายุหมุนขนาดยักษ์ใหญ่กว่าโลกของเราถึง 3 เท่า หมุนทวนเข็มนาฬิกาด้วยคาบเวลา หนึ่งรอบกินเวลา 6 วัน ด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนับเป็นพายุที่เร็วที่สุดในระบบสุริยะด้วย

ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี

ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์เท่าที่ค้นพบและยืนยันแล้ว 62 ดวง ขณะนี้มันจึงเป็นดาวเคราะห์ที่มีบริวารมากที่สุดในระบบสุริยะ[1] ดวงจันทร์ที่มีมวลมากที่สุด 4 ดวงหรือดวงจันทร์ของกาลิเลโอ (Galilean moons) ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1610 ถือเป็นวัตถุในระบบสุริยะกลุ่มแรก ๆ ที่ถูกค้นพบว่าโคจรรอบดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกหรือดวงอาทิตย์ นับตั้งแต่สิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีดวงจันทร์ขนาดเล็กอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกค้นพบและได้รับการตั้งชื่อตามชื่อคนรักหรือธิดาของเทพเจ้าจูปิเตอร์ของโรมัน (หรือเทพเจ้าซุสของกรีก)
ดวงจันทร์ 8 ดวงของดาวพฤหัสบดีเป็นบริวารที่มีวงโคจรปกติ กล่าวคือ มีวงโคจรเกือบเป็นวงกลมไปในทางเดียวกับดาวดวงอื่น ๆ และเอียงทำมุมกับเส้นศูนย์สูตรของดาวพฤหัสบดีไม่มากนัก ดวงจันทร์ของกาลิเลโอทั้ง 4 ดวงมีลักษณะเป็นทรงกลม ดังนั้นดวงจันทร์เหล่านี้อาจได้รับการจัดเป็นดาวเคราะห์แคระหากพวกมันโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยตรง ส่วนดวงจันทร์อีก 4 ดวงมีขนาดเล็กกว่าและอยู่ใกล้ดาวพฤหัสบดีมากกว่าดวงจันทร์ของกาลิเลโอ เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นซึ่งคอยเสริมความหนาแน่นให้กับวงแหวนของดาวพฤหัสบดี
ดวงจันทร์อื่น ๆ อีก 54 หรือ 55 ดวงเป็นบริวารขนาดเล็กซึ่งอยู่ห่างไกลจากดาวพฤหัสบดีมากกว่า จัดเป็นดาวบริวารผิดปกติ คือ มีความเอียงและความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจรสูง (วงโคจรไม่มีจุดศูนย์กลางจุดเดียวกันสม่ำเสมอ) บางดวงโคจรไปในทางเดียวกันและบางดวงโคจรสวนทางกับบริวารดวงอื่น ๆ ดวงจันทร์เหล่านี้อาจเคยเป็นดาวเคราะห์น้อยที่โคจรรอบดวงอาทิตย์มาก่อน แต่ถูกอำนาจแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีจับไว้ในภายหลัง มีดวงจันทร์ที่เพิ่งถูกค้นพบ 13 ดวงในกลุ่มนี้ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อ บวกกับดวงที่ 14 ที่ยังไม่พบวงโคจรแน่ชัด ซึ่งหากค้นพบเมื่อใด จำนวนดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีที่แน่นอนก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 63 ดวง
ไฟล์:Jupiter family.jpg
ไฟล์:Jupiter.moons1.jpg
ไฟล์:Jupiter.moons2.jpg

ลักษณะ

ลักษณะทางกายภาพและลักษณะวงโคจรของดวงจันทร์ต่าง ๆ มีความแตกต่างกันอย่างมาก ดวงจันทร์ของกาลิเลโอทั้ง 4 ดวงมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร ดวงที่ใหญ่ที่สุดคือ แกนีมีดเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ (เมื่อไม่นับรวมดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ชั้นเอกทั้ง 8 ดวง) ในขณะที่ดวงจันทร์ดวงอื่น ๆ ทั้งหมดมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวน้อยกว่า 250 กิโลเมตรและส่วนใหญ่ยาวไม่เกิน 5 กิโลเมตร แม้แต่ยูโรปาซึ่งเป็นดวงจันทร์ที่เล็กที่สุดในกลุ่มกาลิเลโอ ยังมีมวลมากกว่ามวลของดวงจันทร์นอกกลุ่มทั้งหมดรวมกันถึง 5,000 เท่า วงโคจรก็มีทั้งเกือบเป็นวงกลมสมบูรณ์ เอียง และเป็นวงรี หลายดวงยังโคจรไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการหมุนของดาวพฤหัสบดีอีกด้วย เวลาที่ใช้โคจรรอบดาวพฤหัสบดีก็ต่างกันตั้งแต่ 7 ชั่วโมงโลก (ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ดาวพฤหัสบดีใช้หมุนรอบตัวเอง) จนถึงประมาณ 3 ปีโลก
ข้อมูลของดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัส

ไอโอ (Io) 

ไอโอ (Io) ดวงจันทร์ขนาดใหญ่อันดับ 3 มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3,642 กิโลเมตร อยู่ห่างจากดาวพฤหัส 421,600 กิโลเมตร โคจรอยู่รอบในสุดของกลุ่มดวงจันทร์กาลิเลียน 1 รอบกินเวลา 1 วัน 18 ชั่วโมง 27 นาที มีค่าความสว่างเมื่อมองจากโลกประมาณ mag 5.0
     เนื่องจากไอโอ อยู่ใกล้ดาวพฤหัสมากทำให้ถูกสนามแรงโน้มถ่วง และสนามแม่เหล็กกระทำรุนแรงมาก จึงทำให้ไอโอแอคทีฟตลอดเวลา ทั่วทั้งผิวของไอโอเต็มไปปล่อยภูเขาไฟ ที่ค่อยระบายความร้อนภายในตัวดวงจันทร์ ระเบิดพ่นลาวาที่เป็นกำมะถันเหลวปกคลุมทั่วผิวไอโอ เมื่อครั้งที่ยานวอยเอเจอร์ผ่านไอโอได้จับภาพภูเขาไฟกำลังพ่นลาวาสูงถึง 240 กิโลเมตร
ยูโรปา (Europa)

ยูโรปา (Europa) ดวงจันทร์น้องเล็กในกลุ่มมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3,138 กิโลเมตร มีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลก (เส้นผ่านศูนย์กลาง 3,450 กิโลเมตร) อยู่ห่างจากดาวพฤหัส 670,900 กิโลเมตร โคจรห่างจากดาวพฤหัสเป็นอันดับสองในกลุ่มใช้เวลา 1 รอบดาวพฤหัส 3 วัน 13 ชั่วโมง 13 นาที มีค่าความสว่างเมื่อมองจากโลกประมาณ mag 5.3
ผิวของยูโรปาเป็นน้ำแข็งราบเรียบ และมีริ้วขีดไปมาคล้ายลายบนเปลือกไข่ นักวิทยาศาสตร์สันนิฐานว่าใต้ผิวน้ำแข็งนี้จะเป็นมหาสมุทรที่ยังเป็นของเหลวอยู่

แกนิมีด (Ganymede)
 แกนิมีด (Ganymede) ดวงจันทร์ขนาดใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัส และใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวบริวารทั้งหมดในระบบสุริยะด้วยและ ยังมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธด้วย มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5,262 กิโลเมตร อยู่ห่างจากดาวพฤหัส 1,070,000 กิโลเมตร โคจรรอบดาวพฤหัส 1 รอบกินเวลา 7 วัน 3 ชั่วโมง 43 นาที มีค่าความสว่างเมื่อมองจากโลกประมาณ mag 4.6
      ผิวของแกนิมีด ค่อนข้างประหลาดเพราะมีส่วนที่เข้มขนาดใหญ่แยกต่างหากจากส่วนที่มีความสว่าง อย่างเห็นได้ชัด นักวิทยาศาสตร์สันนิฐานว่าน่าจะเกิดจากการเคลื่อนตัวของ Plate Techtonic แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นบนโลก และภายในของแกนิมีดคงจะร้อนอยู่ 

คาลลิสโต (Callisto)

  คาลลิสโต (Callisto) โคจรอยู่วงนอกสุดของกลุ่มดวงจันทร์กาลิเลียน มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4,806 กิโลเมตร อยู่ห่างจากดาวพฤหัส 1,880,000 กิโลเมตร โคจรรอบดาวพฤหัส 1 รอบกินเวลา 16 วัน 16 ชั่วโมง 32 นาที มีค่าความสว่างเมื่อมองจากโลกประมาณ mag 5.6
     เนื่องจากคาลลิสโตอยู่ไกลสุดจากดาวพฤหัส จึงไม่ถูกรบกวนจากสนามแม่เหล็ก ทำให้ผิวของคาลลิสโตประกอบด้วยน้ำแข็งและเปลือกแข็งที่เป็นหลุมอุกกาบาต ลึกราวๆ 200-300 กิโลเมตร ใต้ผิวลึกลงไปสันนิฐานว่าจะเป็นน้ำหรือน้ำแข็งหุ้มแกนกลางที่เป็นซิลิเคท

ตารางรายชื่อดวงจันทร์

รายชื่อด้านล่างเป็นรายชื่อของดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีเรียงตามคาบดาราคติ

อันดับ
[# 1]
ลำดับ
ค้นพบ
[# 2]
ชื่อภาษาอังกฤษภาพเส้นผ่านศูนย์กลาง
(ก.ม.)
มวล
(1016ก.ก.)
กึ่งแกนเอก
(ก.ม.)[2]
คาบดาราคติ
(วัน[2][# 3]
ความเอียงของวงโคจร
(°[2]
ความเยื้องศูนย์กลาง
[3]
ปีที่ค้นพบ
[4]
ผู้ค้นพบ
[4]
กลุ่ม
[# 4]
1XVIมีทิสMetis
Metis.jpg
60×40×34~3.6127 690+7h 4m 29s0.06°[5]0.000 021979ซินนอตต์
(วอยเอเจอร์ 1)
รอบใน
2XVแอดรัสเทียAdrastea
Adrastea.jpg
20×16×14~0.2128 690+7h 9m 30s0.03°[5]0.00151979จิวอิตต์
(วอยเอเจอร์ 2)
รอบใน
3VแอมัลเทียAmalthea
Amalthea PIA02532.png
250×146×128208181 366+11h 57m 23s0.374°[5]0.00321892บาร์นาร์ดรอบใน
4XIVทีบีThebe
Thebe.jpg
116×98×84~43221 889+16h 11m 17s1.076°[5]0.01751979ซินนอตต์
(วอยเอเจอร์ 1)
รอบใน
5IไอโอIo
Io highest resolution true color.jpg
3660.0×3637.4
×3630.6
8 900 000421 700+1.769 137 7860.050°[5]0.00411610กาลิเลโอกาลิเลโอ
6IIยูโรปาEuropa
Europa-moon.jpg
3121.64 800 000671 034+3.551 181 0410.471°[5]0.00941610กาลิเลโอกาลิเลโอ
7IIIแกนีมีดGanymede
Ganymede g1 true.jpg
5262.415 000 0001 070 412+7.154 552 960.204°[5]0.00111610กาลิเลโอกาลิเลโอ
8IVคาลลิสโตCallisto
Callisto.jpg
4820.611 000 0001 882 709+16.689 018 40.205°[5]0.00741610กาลิเลโอกาลิเลโอ
9XVIIIเทมิสโตThemisto80.0697 393 216+129.8745.762°0.21151975/2000โควาลและโรเมอร์/
เชปเพิร์ดและคณะ
เทมิสโต
10XIIIลีดาLeda
Leda2(moon).jpg
160.611 187 781+241.7527.562°0.16731974โควาลไฮเมเลีย
11VIไฮเมเลียHimalia17067011 451 971+250.3730.486°0.15131904เพอร์รีนไฮเมเลีย
12XไลซิเทียLysithea366.311 740 560+259.8927.006°0.13221938นิโคลสันไฮเมเลีย
13VIIเอลาราElara868711 778 034+261.1429.691°0.19481905เพอร์รีนไฮเมเลีย
14S/2000 J 1140.009 012 570 424+287.9327.584°0.20582001เชปเพิร์ดและคณะไฮเมเลีย
15XLVIคาร์โปCarpo30.004 517 144 873+458.6256.001°0.27352003เชปเพิร์ดและคณะคาร์โป
16S/2003 J 1210.000 1517 739 539−482.69142.680°0.44492003เชปเพิร์ดและคณะ?
17XXXIVยูพอเรียEuporie20.001 519 088 434−538.78144.694°0.09602002เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
18S/2003 J 320.001 519 621 780−561.52146.363°0.25072003เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
19S/2003 J 1820.001 519 812 577−569.73147.401°0.15692003แกล็ดแมนและคณะอะแนงคี
20XLIIเทลซิโนอีThelxinoe20.001 520 453 753−597.61151.292°0.26842003เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
21XXXIIIยูแอนทีEuanthe30.004 520 464 854−598.09143.409°0.20002002เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
22XLVเฮลิกีHelike40.009 020 540 266−601.40154.586°0.13742003เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
23XXXVออร์ทอเซียOrthosie20.001 520 567 971−602.62142.366°0.24332002เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
24XXIVไอโอแคสตีIocaste50.01920 722 566−609.43147.248°0.28742001เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
25S/2003 J 1620.001 520 743 779−610.36150.769°0.31842003แกล็ดแมนและคณะอะแนงคี
26XXVIIแพรกซิดิกีPraxidike70.04320 823 948−613.90144.205°0.18402001เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
27XXIIฮาร์แพลิกีHarpalyke40.01221 063 814−624.54147.223°0.24402001เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
28XLนีมีMneme20.001 521 129 786−627.48149.732°0.31692003แกล็ดแมนและคณะอะแนงคี
29XXXเฮอร์มิปพีHermippe40.009 021 182 086−629.81151.242°0.22902002เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี?
30XXIXไทโอนีThyone40.009 021 405 570−639.80147.276°0.25252002เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี
31XIIอะแนงคีAnanke283.021 454 952−642.02151.564°0.34451951นิโคลสันอะแนงคี
32S/2003 J 1720.001 522 134 306−672.75162.490°0.23792003แกล็ดแมนและคณะคาร์มี
33XXXIไอต์นีAitne30.004 522 285 161−679.64165.562°0.39272002เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
34XXXVIIเคลีKale20.001 522 409 207−685.32165.378°0.20112002เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
35XXเทย์จิทีTaygete50.01622 438 648−686.67164.890°0.36782001เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
36S/2003 J 1920.001 522 709 061−699.12164.727°0.19612003แกล็ดแมนและคณะคาร์มี
37XXIแคลดีนีChaldene40.007 522 713 444−699.33167.070°0.29162001เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
38S/2003 J 1520.001 522 720 999−699.68141.812°0.09322003เชปเพิร์ดและคณะอะแนงคี?
39S/2003 J 1020.001 522 730 813−700.13163.813°0.34382003เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี?
40S/2003 J 2320.001 522 739 654−700.54148.849°0.39302004เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
41XXVแอรินอมีErinome30.004 522 986 266−711.96163.737°0.25522001เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
42XLIเออีดีAoede40.009 023 044 175−714.66160.482°0.60112003เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
43XLIVคาลลิคอรีKallichore20.001 523 111 823−717.81164.605°0.20412003เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี?
44XXIIIแคลิกีKalyke50.01923 180 773−721.02165.505°0.21392001เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
45XIคาร์มีCarme461323 197 992−721.82165.047°0.23421938นิโคลสันคาร์มี
46XVIIคาลลีโรอีCallirrhoe90.08723 214 986−722.62139.849°0.25822000แกล็ดแมนและคณะพาซิเฟอี
47XXXIIยูริโดมีEurydome30.004 523 230 858−723.36149.324°0.37692002เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี?
48XXXVIIIพาซิเทียPasithee20.001 523 307 318−726.93165.759°0.32882002เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
49XLVIIIซิลีนีCyllene20.001 523 396 269−731.10140.148°0.41152003เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
50XLVIIยูเคลาดีEukelade40.009 023 483 694−735.20163.996°0.28282003เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
51S/2003 J 420.001 523 570 790−739.29147.175°0.30032003เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
52VIIIพาซิเฟอีPasiphaë603023 609 042−741.09141.803°0.37431908แกล็ดแมนและคณะพาซิเฟอี
53XXXIXฮิเจมอนีHegemone30.004 523 702 511−745.50152.506°0.40772003เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
54XLIIIอาร์คีArche30.004 523 717 051−746.19164.587°0.14922002เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
55XXVIไอซอโนอีIsonoe40.007 523 800 647−750.13165.127°0.17752001เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
56S/2003 J 910.000 1523 857 808−752.84164.980°0.27612003เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
57S/2003 J 540.009 023 973 926−758.34165.549°0.30702003เชปเพิร์ดและคณะคาร์มี
58IXซิโนพีSinope387.524 057 865−762.33153.778°0.27501914นิโคลสันพาซิเฟอี
59XXXVIสปอนดีSponde20.001 524 252 627−771.60154.372°0.44312002เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
60XXVIIIออทอโนอีAutonoe40.009 024 264 445−772.17151.058°0.36902002เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
61XLIXคอรีKore20.001 523 345 093−776.02137.371°0.19512003เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
62XIXเมกาไคลตีMegaclite50.02124 687 239−792.44150.398°0.30772001เชปเพิร์ดและคณะพาซิเฟอี
63S/2003 J 22
0.001 530 290 846−1 077.02153.521°0.18822003เชปเพิร์ดและคณะ?
รูปแสดงตำแหน่งวงโคจรของดวงจันทร์กาลิเลียน ในสุดคือ ไอโอ ถัดออกมาคือยูโรปา แกนิมีด และ คาลิสโต แต่ชั้นในสุดยังมีดวงจันทร์ขนาดเล็กโคจรอยู่รอบในแต่เราไม่สามารถมองเห็นได้จากโลกถูกค้นพบโดยยานอวกาศวอยเอเจอร์ นอกจากนี้ยังมีดาวบริวารรอบนอกอีกหลายดวงเช่นกัน แต่มีขนาดเล็ก 
และโคจรอยู่คนละระนาบกับวงโคจรของดาวพฤหัส อีกซ้ำบางดวงยังหมุนกลับทิศทางกับดาวบริวารดวงอื่นๆด้วย

  เนื่องจากคาบการโคจรรอบดาวพฤหัสของดาวบริวารทั้ง 4 นั้นค่อนข้างแน่นอน เมื่อเราจับมาพร๊อตกราฟเส้นทางโคจรของแต่ละดวงตลอด 1 เดือน จะมีลักษณะตามรูปข้างบนซึ่งเป็นกราฟวงโคจรตลอดเดือนมกราคมนี้ เส้นและจุดสีแดงแทนดวงจันทร์ไอโอ สีส้มแทนยูโรปา สีเขียวแทนแกนิมีด และสีน้ำเงินแทนคาลลิสโต เส้นหนาตรงกลางแสดงตำแหน่งของดาวพฤหัส (สีขาว)

     ตำแหน่งแนวดิ่งที่ตรงกับตัวเลขจะแทนเวลา 0 นาฬิกาของวันที่นั้นๆตามในเวลาประเทศไทย ตัวอย่างเช่น วันที่ 2 มกราคม เวลา 0 นาฬิกา จะเห็นเราจะเห็นไอโอและแกนิมีดอยู่ใกล้กันด้านบนของกราฟ (ทิศตะวันออก) ส่วนคาลลิสโตและยูโรปาจะอยู่ใกล้กันด้านล่างของกราฟ (ทิศตะวันตก) เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงครึ่งทาง (ตอนเที่ยง) เส้นกราฟของไอโอ ยูโรปา และแกนิมีด จะตัดกันที่ดาวพฤหัสพอดี หมายความว่าถ้าตอนเที่ยงเรามีโอกาสได้เห็นดาวพฤหัสเราจะไม่เห็นดวงจันทร์ 3 ดวงนี้ แต่จะเห็นคาลลิโตทางทิศตะวันตกเพียงดวงเดียว
     ถ้าเราพิจารณาเส้นกราฟเราจะเห็นว่า วงโคจรของดวงจันทร์ทั้ง 4 จะมีบางช่วงที่ซิงโครไนส์กัน เช่น ทุกๆ 2 รอบของไอโอจะเท่ากับยูโรปา 1 รอบ (ช่วงประมาณวันที่ 6 ถึงวันที่ 10) และทุกๆ 2 รอบของยูโรปาจะเท่ากับ 1 รอบของแกนิมีด หรือ 4 รอบของไอโอ (ช่วงประมาณวันที่ 6 ถึงวันที่ 13) ส่วนคาลลิสโตจะแตกต่างเค้าเพื่อนไม่ซิงโครไนส์กับใคร เราจึงสามารถนำเส้นกราฟของไอโอ ยูโรปา และแกนิมีดมาต่อกันได้อย่างไม่รู้จบไปเรื่อยๆ ยกเว้นคาลลิสโต
     สิ่งที่น่าสนใจของดวงจันทร์กาลิเลียนไม่ได้อยู่แค่เป็นดวงจันทร์ใหญ่สุดของดาวพฤหัส หรือ เป็นดวงจันทร์ที่เห็นได้จากโลกเท่านั้น แต่ด้วยคาบการโคจรของดวงจันทร์ทั้ง 4 รอบดาวพฤหัสนั้นใช้เวลาน้อย ทำให้เราสามารถเห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงจันทร์ได้จากโลก ในชั่วเวลาอันสั้น ไอโอดวงจันทร์วงในสุด มีคาบการเปลี่ยนแปลง 1 รอบกินเวลาเพียง 42 ชั่วโมงครึ่ง นั่นหมายความว่า เราสามารถเห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของไอโอได้ทุกๆ 1 ชั่วโมง
 ภาพจำลองจากโปรแกรม Strrynight แสดงให้เห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงจันทร์ทั้ง 4 ดวง เมื่อคืนวันที่ 19 มกราคม 2546 เวลา 02.00 น. (ภาพบนสุด) ซึ่งทั้ง 3 ภาพเวลาต่างกัน 1 ชั่วโมง จะเห็นว่า ภาพที่ 2 เมื่อเวลา 03.00 น. ดวงจันทร์ ไอโอจะค่อยๆเคลื่อนหายไปด้านหลังดาวพฤหัส ขณะที่ ยูโรปากับคาลลิสโต จะค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้กันทุกที
    ภาพที่ 3(III) เมื่อเวลา 04.00 น. เราจะเห็นดวงจันทร์เพียง 2 ดวงเท่านั้น เพราะยูโรปาจะค่อยๆเคลื่อนหายไปด้านหลังดวงจันทร์คาลลิสโต เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าการบังกัน (Occultation
     ให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การบังกัน (Occultation) กับ อุปราคา (Eclipse) ของดาวบริวารทั้ง 4 ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้จากโลก ปีคศ.2003 ก็เป็น 1 ในรอบ 12 ปีที่เราจะได้เห็น ช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2002 ถึงเดือนมีนาคม 2003 นับว่าเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด ซึ่งเราจะเห็นว่าดาวบริวารทั้ง 4 ดวงนั้นจะเรียงตัวกันเป็นแนวตรงใกล้เคียงกับแนวเส้นศูนย์สูตรของดาวพฤหัสมากที่สุด และต้องนับจากนี้ไปอีก 6 ปีเราถึงเห็นปรากฏการณ์แบบนี้อีก ปรากฏการณ์ทั้ง 2 แบบนี้ ก็คล้ายๆกับ จันทรุปราคา หรือ สุริยุปราคา ที่เราเห็นบนโลกนั่นเอง เกิดขึ้นจากระนาบการโคจรของ โลก ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ มาอยู่ในระนาบเดียวกัน
การบังกัน (Occultation) เกิดขึ้นจากดาวบริวาร 2 ดวงเคลื่อนมาใกล้กัน จนตำแหน่งที่เรามองเห็นจากโลกเกิดการบังกันขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ 
      -บังกันบางส่วน เกิดจากความแตกต่างของระนาบระหว่างดาวบริวาร 2 ดวง
      - แบบวงแหวน เกิดจากดาวบริวารดวงเล็กกว่าบังดาวบริวารดวงใหญ่ เช่น ไอโอบังแกนิมีด เป็นต้น
      - แบบเต็มดวง เกิดจากดาวบริวารดวงใหญ่บังดวงเล็ก เช่น แกนิมีดบังไอโอ เป็นต้น
ผลของการบังกันนั้น สำหรับกล้องขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการแยกความละเอียดได้สูง จะเห็นความสว่างของดาวบริวารเปลี่ยนแปลงระหว่างบังกัน ในขณะที่กล้องขนาดเล็กซึ่งแยกความแตกต่างไม่ออกจะมองเห็นเหมือนดาวบริวารสองดวงเคลื่อนที่มารวมกันเป็นดวงเดียว
อุปราคา (Eclipse) เกิดขึ้นจากเงาของดาวบริวารดวงหนึ่งเคลื่อนไปทับบนดาวบริวารอีกดวง คล้ายๆกับปรากฏการณ์จันทรุปราคาที่เราเห็นกันบนโลก แบ่งออกเป็น 3 แบบเช่นกันคือ
     - อุปราคาบางส่วน
     - อุปราคาวงแหวน
     -อุปราคาเต็มดวง
ผลของการเกิดอุปราคานั้นเราจะเห็นความสว่างของดาวบริวารนั้นลดลง หรือหายไประหว่างที่โคจรอยู่รอบดาวพฤหัส 
ไฟล์:Hubble Spies Jupiter Eclipses.jpg
  ภาพถ่ายจริงจากวารสาร Astronomy ฉบับเดือนธันวาคม 2002 ซึ่งถ่ายโดย jim curry ซึ่งถ่ายระยะเวลาห่างกัน 1 ชั่วโมง
- รูปบน แสดงตำแหน่งของ แกนิมีด ยูโรปา ไอโอ และดาวพฤหัส เรียงจากซ้ายมาขวา
- รูปกลาง 1 ชั่วโมงผ่านมา ยูโรปามีความสว่างลดลงจนมองไม่เห็น เพราะถูกเงาของไอโอบัง
- รูปล่าง 1 ชั่วโมงผ่านมา ยูโรปาสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพ้นจากเงาของไอโอ
ปรากฏการณ์ทั้ง 2 แบบเป็นการวัดประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้ทางหนึ่งว่า มีความคมชัดในการแยกความแตกต่างของภาพได้มากน้อยเพียงใด ตามปกติแล้วการสังเกตปรากฏกาณ์ทั้ง 2 แบบนี้ จะต้องใช้กำลังขยายของกล้องสูงมากๆ ทำให้กล้องที่มีขนาดใหญ่ได้เปรียบ โดยกำหนดกำลังขยายขั้นต่ำอยู่ที่ 30 คูณด้วยขนาดหน้ากล้องเป็นนิ้ว เช่น กล้องขนาด 6 นิ้วจะต้องใช้กำลังขยาย 180 เท่า ขณะที่กล้องขนาด 16 นิ้วจะได้กำลังขยายเป็น 480 เท่า
การสำรวจดาวพฤหัส
ดาวพฤหัสเคยถูกสำรวจโดยยานไพโอเนียร์ 10 เมื่อปี 1972 เฉียดดาวพฤหัสห่างราว 132,000 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 1973  กับ ยานวอยเอเจอร์ 2 เมื่อปี คศ.1977 โดยใช้แรงเหวี่ยงของดาวพฤหัสส่งไปสำรวจดาวเสาร์ และยูเรนัสกับดาวเนปจูน ปัจจุบันนี้ยานที่ถูกส่งไปสำรวจดาวพฤหัสโดยตรงคือยานกาลิเลโอ 
รูปยานกาลิเลโอ